ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่ทำให้ลำบากในการใช้ชีวิตแล้วนั้น ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง ซึ่ง PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบได้ว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ เล็กจนขนจมูกของมนุษย์ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นนั้นไม่สามารถกรองได้ จึงสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และเข้าสู่อวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ โดยตัวฝุ่น PM 2.5 นั้นยังเป็นพาหะนำสารอื่น เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งอื่นๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งยังส่งผลกระทบอย่างมากในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ รวมไปถึงเด็กและคนชราที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง สาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 สามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุ คือ
- แหล่งกำเนิดโดยตรง ได้แก่ การเผาในที่โล่ง การคมนาคมขนส่ง การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิต
- การรวมตัวของก๊าซอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งสารพิษอื่นๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)
- พิจารณาจากขนาดของห้อง เพื่อเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศให้ครอบคลุมบริเวณที่ต้องการทั้งหมด
- ค่า CADR อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการพิจารณาซื้อเครื่องฟอกอากาศคือการดูจากอัตราเปลี่ยนถ่ายอากาศต่อชั่วโมง หรือค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) ได้จากการวัดปริมาณอากาศทั้งหมดที่ระบบฟอกอากาศสามารถทำความสะอาดได้ภายใน 1 นาที ยิ่งตัวเลขสูง ย่อมแสดงว่าเครื่องฟอกอากาศนั้นสามารถทำงานได้ดี
- Air Volume หรือ Air Flow เป็นเครื่องกรองที่จะช่วยทำความสะอาดเครื่องฟอกอากาศของคุณด้วยตัวเอง
- เลือกระบบการใช้งานที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ
- ระดับเสียงในการทำงานของเครื่องฟอกอากาศควรมีค่าประมาณ 30-31 เดซิเบล เพื่อลดการรบกวนขณะนอนหลับ
- อะไหล่หาซื้อง่าย นอกจากการใช้งานแล้วนั้น ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาด้วยเช่นกัน
- อัตราการใช้ไฟเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย